เสียงขลุ่ยกลับมาหากอไผ่
โดยพุทธทาสภิกขุ
"เสียงขลุ่ยหวนกลับมาหากอไผ่"
จงคิดให้เห็นความตามนี้หนอ
ว่าไผ่ลำตัดไปจากไผ่กอ
ทำขลุ่ยพอเป่าได้เป็นเสียงมา
จงคิดให้เห็นความตามนี้หนอ
ว่าไผ่ลำตัดไปจากไผ่กอ
ทำขลุ่ยพอเป่าได้เป็นเสียงมา
เสียงก็หวนกลับมาหากอไผ่
เป่าเท่าไรกลับกันเท่านั้นหนา
เหมือนไอน้ำจากทะเลเป็นเมฆา
กลายเป็นฝนกลับมาสู่ทะเล ฯ
เป่าเท่าไรกลับกันเท่านั้นหนา
เหมือนไอน้ำจากทะเลเป็นเมฆา
กลายเป็นฝนกลับมาสู่ทะเล ฯ
เหมือนตัณหาพาคนด้นพิภพ
พอสิ้นฤทธิ์ก็ตระหลบหนทางเห
วิ่งมาสู่แดนวิสุทธิ์หยุดเกเร
ไม่เถลไถลไปที่ไหนเลย;
พอสิ้นฤทธิ์ก็ตระหลบหนทางเห
วิ่งมาสู่แดนวิสุทธิ์หยุดเกเร
ไม่เถลไถลไปที่ไหนเลย;
อันความวุ่นวิ่งมาหาความว่าง
ไม่มีทางไปไหนสหายเอ๋ย
ในที่สุดก็ต้องหยุดเหมือนอย่างเคย
ความหยุดเฉยเป็นเนื้อแท้แก่ธรรมเอย ฯ
ไม่มีทางไปไหนสหายเอ๋ย
ในที่สุดก็ต้องหยุดเหมือนอย่างเคย
ความหยุดเฉยเป็นเนื้อแท้แก่ธรรมเอย ฯ
คนทุกคนมีแรงพลุ่งไปใน "ความเกิด" ด้วยฤทธิ์ของตัณหาและอุปาทาน. โดยเหตุที่ไม่ทราบว่า ที่แท้อารมณ์ทั้งปวงนั้น ก่อตัวพลุ่งขึ้นก็เพียงมุ่งกลับสู่สภาพเดิม คือ "ความดับ".
เหมือนไม้ไผ่ตัดจากกอไผ่ไปทำขลุ่ยเป่าเสียงดังไพเราะ ก็เพียงเพื่อ "ความดับ" แห่งเสียงนั้นลงสู่สภาพไม้ไผ่จากกอเดิม; หรือเหมือนไอน้ำจากทะเล พลุ่งขึ้นเป็นเมฆาและตกเป็นฝนลงสู่ทะเลตามเดิม.
ความวุ่นที่พลุ่งขึ้น ก็ย่อมดับมอดลงสู่ ความว่าง อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ เพราะฉะนี้แล ความไม่ดิ้นรนทะยานไปในอารมณ์ทั้งปวง ด้วยตัณหาอุปาทาน จึงเป็นความดับสนิทไปแต่ต้นมือแล้ว.
******
No comments:
Post a Comment