แสวงหานิทาน

Wednesday, March 14, 2012

Beauty and the Beast

Tale...
 Beauty and the Beast  

***

A wealthy merchant lived in a mansion with his three daughters, all of whom were very beautiful, but only the youngest, at fourteen, is named Beauty for being lovely and pure of heart; her sisters, in contrast, are wicked and selfish. The merchant eventually loses all of his wealth in a tempest at sea, and he and his daughters must therefore live in a small farmhouse and work for their living. After some years of this, the merchant hears that one of the trade ships he had sent off has arrived back in port, having escaped the destruction of its compatriots; therefore, he returns to the city to discover whether it contains anything of monetary value. Before leaving, he asks his daughters whether they desire that he bring them any gift upon his return. His two elder daughters ask for jewels and fine dresses, thinking that his wealth has returned; Belle is satisfied with the promise of a rose, as none grow in their part of the country. The merchant, to his dismay, finds that his ship's cargo has been seized to pay his debts, leaving him without money to buy his daughters their presents.

During his return, he becomes lost in a forest. Seeking shelter, he enters a dazzling palace. He finds inside tables laden with food and drink, which have apparently been left for him by the palace's unseen owner. The merchant accepts this gift and spends the night. The next morning as the merchant is about to leave, he sees a rose garden and recalls that Belle had desired a rose. Upon picking the loveliest rose he finds, the merchant is confronted by a hideous 'Beast', which tells him that for taking his (the Beast's) most precious possession after accepting his hospitality, the merchant must die. The merchant begs to be set free, arguing that he had only picked the rose as a gift for his youngest daughter. The Beast agrees to let him give the rose to Belle, only if the merchant will return, or his daughter goes to the castle in his place.


The merchant is upset, but accepts this condition. The Beast sends him on his way, with jewels and fine clothes for his daughters, and stresses that Belle must come to the castle of her own accord. The merchant, upon arriving home, tries to hide the secret from Belle, but she pries it from him and willingly goes to the Beast's castle. The Beast receives her graciously and informs her that she is mistress of the castle, and he is her servant. He gives her lavish clothing and food and carries on lengthy conversations with her. Each night, the Beast asks Belle to marry him, only to be refused each time. After each refusal, Belle dreams of a handsome prince who pleads with her to answer why she keeps refusing him, and she replies that she cannot marry the Beast because she loves him only as a friend. Belle does not make the connection between the handsome prince and the Beast and becomes convinced that the Beast is holding the prince captive somewhere in the castle. She searches for him and discovers multiple enchanted rooms, but never the prince from her dreams.

For several months, Belle lives a life of luxury at the Beast's palace, being waited on hand and foot by invisible servants, having no end of riches to amuse her and an endless supply of exquisite finery to wear. Eventually she becomes homesick and begs the Beast to allow her to go to see her family. He allows it, if she will return exactly a week later. Belle agrees to this and sets off for home with an enchanted mirror and ring. The mirror allows her to see what is going on back at the Beast's castle, and the ring allows her to return to the castle in an instant when turned three times around her finger. Her older sisters are surprised to find her well fed and dressed in finery. They grow jealous of her happy life at the castle, and, hearing that she must return to the Beast on a certain day, beg her to stay another day, even putting onion in their eyes to make it appear as though they are weeping. It is their wish that the Beast will grow angry with Belle for breaking her promise and will eat her alive. Belle's heart is moved by her sisters' false show of love, and she agrees to stay.
Belle begins to feel guilty about breaking her promise to the Beast and uses the mirror to see him back at the castle. She is horrified to discover that the Beast is lying half-dead of heartbreak near the rose bushes her father had stolen from and she immediately uses the ring to return to the Beast.

Upon returning, Belle finds the Beast almost dead, and she weeps over him, saying that she loves him. When her tears strike him, the Beast is transformed into a handsome prince. The Prince informs Belle that long ago a fairy turned him into a hideous beast after he refused to let her in from the rain, and that only by finding true love, despite his ugliness, could the curse be broken. He and Belle are married and they lived happily ever after together.

*******
Tale box http://en.wikipedia.org/wiki/Beauty...

Wednesday, February 8, 2012

วัยรุ่นวุ่นรัก

นิทานชาดก
เรื่อง วัยรุ่นวุ่นรัก
(ความรัก ความหลง ทำให้คนตาบอด) 


      ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภลูกสาวเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งที่หอบผ้าหนีตามชายค่อมไป ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐี มีลูกสาวกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง นางเห็นเครื่องสักการะที่เขาจัดทำให้โคอุสภราช(หัวหน้าโค)ในบ้านของตนแล้วถามพี่เลี้ยงว่า
     "พี่..โคตัวนี้เป็นอะไร เขาถึงประดับถึงเพียงนี้ "
     พี่เลี้ยงตอบว่า " นายหญิง..เขาเรียกโคอุสภราชจ้า"
     นางคิดว่า "โคที่ได้รับยกย่องว่าเป็นใหญ่ จะมีโหนกที่หลัง ถ้าเช่นนั้นชายผู้เป็นใหญ่ ก็คงจะมีโหนกขึ้นกลางหลังเช่นกัน"
     วันหนึ่งเมื่อเห็นชายหลังค่อมคนหนึ่งระหว่างทางจึงเข้าใจว่า "ชายคนนี้เป็นบุรุษอุสภราช เราควรจะเป็นภรรยาของเขา" จึงใช้พี่เลี้ยงไปบอกเขาให้ไปรออยู่ปากทางลูกสาวเศรษฐีจะไปด้วย นางได้ห่อสิ่งของมีค่าหนีตามชายค่อมนั้นไป
     เศรษฐีพอทราบว่าลูกสาวหนีตามชายค่อมไป ก็ออกติดตามเพื่อนำกลับมาบ้าน ฝ่ายลูกสาวเศรษฐีกับชายค่อมเดินทางกันทั้งคืนไม่ได้พักผ่อน ชายค่อมถูกความหนาวเหน็บตลอดคืนรุ่งแจ้งโรคเก่าได้กำเริบขึ้น เดินต่อไปไม่ได้ จึงแวะลงข้างทางนอนขดตัวอยู่ เศรษฐีและคณะตามมาทันเห็นลูกสาวนั่งอยู่ข้างๆชายค่อมนั้น จึงเข้าไปสนทนาด้วยและพูดว่า
          " ลูกรัก เรื่องนี้เจ้าคิดคนเดียวไม่ได้นะ ชายค่อมผู้โง่เขลานี้จะนำทางเป็นที่พึ่งของเจ้าไม่ได้แน่ ลูกรัก เจ้าไม่สมควรจะไปกับชายค่อมผู้นี้ดอกนะ"
          ลูกสาวตอบเป็นคาถาว่า
          " ลูกเข้าใจว่าชายค่อมเป็นคนองอาจ จึงได้รักใคร่เขา
            เขานอนตัวคดอยู่อย่างนี้ ดุจคันพิณที่สายขาด "

        เศรษฐีได้นำลูกสาวกลับคืนบ้านของตน และให้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีชาวเมืองในเวลาต่อมา
******
ข้อคิดจากนิทาน วัยรุ่นปัจจุบันมักจะทำตามใจตนเอง ควรถือนิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
ลูกที่ดีควรยึดถือคำพูดของพ่อแม่เป็นเกณฑ์

กล่องนิทานจาก  http://www.dhammathai.org/

Thursday, January 26, 2012

ปลาบู่ทอง

นิทานไทย เรื่องปลาบู่ทอง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
      นิทานเรื่องปลาบู่ทอง  ได้ฟังครั้งใด จะได้ความรู้สึกไปกับนิทานทุกครั้ง ยิ่งได้ผู้เล่าดีๆ จะเรียกน้ำตาได้ บางคน ถึงกับไม่ทาน ปลาบู่ ไปก็มีเหมือนกัน ด้วยความสงสาร ปลาบู่ ติดตามกันดีกว่า 

       เรื่องปลาบู่ทองเริ่มขึ้นโดยเศรษฐีทารก (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) ผู้มีอาชีพจับปลามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา มีลูกสาวชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวชื่อ อ้าย และ อี่
       วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทอง ที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่า นั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียว   กลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีทารกเกิด  บันดาลโทสะจึงฟาดนางขนิษฐาจนตายและทิ้งศพลงคลอง
       เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่  กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นขนิษฐีผู้เป็นแม่เลี้ยงของเอื้อย และอี่กับอ้ายน้องสาวทั้งสองก็กลั่นแกล้งใช้งานเอื้อยเป็นประจำโดยที่เศรษฐี ทารกไม่รับรู้และไม่สนใจ
       เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ก็ได้นำข้าวสวยมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน


       นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงสืบจนพบว่านางขนิษฐาได้มาเกิดเป็น ปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน ดังนั้นเมื่อเอื้อยกำลังทำงานนางขนิษฐีก็จับปลาบู่ทองมาทำอาหารและขอดเกล็ด ทิ้งไว้ในครัว
       เอื้อยได้พบเกล็ดปลาบู่ทองก็เศร้าใจเป็นอย่างมาก นำเกล็ดไปฝังดินและอธิษฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือ เอื้อยมารดน้ำให้ต้นมะเขือทุกวันจนงอกงาม เมื่อขนิษฐีทราบเรื่องเข้าก็โค่นต้นมะเขือ และนำลูกมะเขือไปจิ้มน้ำพริกกิน
       เอื้อยเก็บเมล็ดมะเขือที่เหลือไปฝังดินและอธิษฐานให้แม่ไปเกิดเป็นต้น โพธิ์เงินโพธิ์ทองในป่า และไม่ให้ผู้ใดสามารถโค่น ทำลาย หรือเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้
       วันหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตเสด็จประพาสป่าได้พบกับต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง โปรดให้นำเข้าไปปลูกในวัง แต่ไม่มีผู้ใดสามารถเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้ พระเจ้าพรหมทัตจึงประกาศว่าผู้ใดที่เคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้จะ ให้รางวัลอย่างงาม
       ขนิษฐีและอ้ายกับอี่เข้าร่วมลองถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองด้วยแต่ไม่สำเร็จ เอื้อยขอลองบ้างและอธิษฐานจิตบอกแม่ว่าขอย้ายแม่เข้าไปปลูกในวัง เอื้อยจึงถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้สำเร็จ
       พระเจ้าพรหมทัตถูกชะตาเอื้อยจึงชวนเข้าไปอยู่ในวังและแต่งตั้งให้เอื้อย เป็นพระมเหสี ฝ่ายขนิษฐีและลูกสาวอิจฉาเอื้อยจึงส่งจดหมายไปบอกเอื้อยว่าเศรษฐีทารกป่วย หนักขอให้เอื้อยกลับมาเยี่ยมที่บ้าน
       เมื่อเอื้อยกลับมาบ้าน นางขนิษฐีก็ได้แกล้งนำกระทะน้ำเดือดไปวางไว้ใต้ไม้กระดานเรือน และทำกระดานกลไว้ เมื่อเอื้อยเหยียบกระดานกลก็ตกลงในหม้าน้ำเดือดจนถึงแก่ความตาย ขนิษฐีให้อ้ายปลอมตัวเป็น เอื้อยและเดินทางกลับไปยังวังของพระเจ้าพรหมทัต
       เอื้อยได้ไปเกิดใหม่เป็น นกแขกเต้า  เมื่อเกิดใหม่แล้วก็บินกลับเข้าไปในพระราชวัง พระเจ้าพรหมทัตเห็นนกแขกเต้าแสนรู้ ไม่รู้ว่าเป็นเอื้อยกลับชาติมาเกิดก็เลี้ยงไว้ใกล้ตัว อ้ายเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ สั่งคนครัวให้นำนกแขกเต้าไปถอนขนและต้มกิน


       แม่ครัวถอนขนนกแขกเต้าและวางทิ้งไว้บนโต๊ะ นกแขกเต้าจึงกระเสือกกระสนหลบหนีเข้าไปอยู่ในรูหนู มีหนูช่วยดูและจนขนขึ้นเป็นปกติ แล้วเอื้อยก็บินเข้าป่าไปจนเจอกับพระฤๅษี
       พระฤๅษีตรวจดูด้วยญานพบว่านกแขกเต้าคือเอื้อยกลับชาติมาเกิดจึงเสกให้ เป็นคนตามเดิม และวาดรูปเด็กเสกให้มีชีวิตเพื่อให้เป็นลูกของเอื้อย เมื่อเด็กนั้นโตขึ้นก็ขอเอื้อยเดินทางไปหาบิดา เอื้อยจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บุตรชายฟังร้อยพวงมาลัยเพื่อให้บุตรชายนำไป ให้พระเจ้าพรหมทัต
       เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้พบกับบุตรชายของเอื้อยและพวงมาลัย ก็ขอให้เด็กชายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้มาลัยมาอย่างไร เด็กชายก็เล่าตามที่เอื้อยเล่าให้ฟัง เมื่อทราบเรื่องทังหมดแล้วพระเจ้าพรหมทัตก็สั่งประหารชีวิตอ้าย อี่ และขนิษฐี และไปรับเอื้อยเพื่อให้กลับมาครองบัลลังก์ร่วมกันอีกครั้

เพลงประกอบละครปลาบู่ทอง

*******
กล่องนิทาน จาก http://th.wikipedia.org

Tuesday, January 17, 2012

ฟังนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เล่านิทาน

ฟังนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เล่านิทาน
ในวันเด็ก


      น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย เดินทางมาร่วมงานวันเด็กแห่งชาติที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมชมการแสดงของวงโยธวาทิตจากโรงเรียนสวนลุมพินี ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากฮ่องกง
มีตัวแทนเด็กจำนวน 5 คน ได้เข้าเยี่ยมชมห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า และนั่งเก้าอี้ทำงานของนายกรัฐมนตรีด้วย จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เล่านิทานเรื่องเพื่อนรักในป่าใหญ่ ให้เด็กๆ ฟัง เพื่อให้เด็กๆ ได้รู้คุณค่าของป่าไม้

     เนื้อหา เรื่องเพื่อนรักในป่าใหญ่ โดยสังเขป 
     "เพื่อนรักในป่า ใหญ่" จะชวนเด็กๆ มารู้จักความสำคัญของธรรมชาติ และความสามัคคีของเพื่อนพ้องที่ถ้าหากรวมใจ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่สำเร็จ...
******* 
ข้อมูลจาก http://news.mthai.com

ลิงติเตียนมนุษย์

 นิทานชาดก
เรื่องลิงติเตียนมนุษย์

 แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังไม่อยากจะฟังสิ่งที่ไร้สาระและกิเลสตัณหาของชาวมนุษย์


      ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันเพราะอำนาจกิเลสรูปหนึ่ง ตรัสให้โอวาทว่า " ภิกษุ ธรรมดากิเลสแม้สัตว์เดรัจฉานก็ติเตียน เธอบวชในศาสนานี้แล้วเหตุไฉนจึงกระสันด้วยอำนาจกิเลสที่แม้สัตว์ก็ติเตียนเล่า " แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลิงอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง ถูกพรานป่าจับได้แล้วนำไปถวายพระเจ้าเมืองพาราณสี พระราชามิได้สั่งทำร้ายมันกลับสั่งให้เลี้ยงมันอย่างดี ลิงนั้นอยู่ในพระราชวังหลายปีเห็นพฤติกรรมของมนุษย์มากมาย กลายเป็นสัตว์เชื่องเรียบร้อยมิได้ดุร้าย พระราชาทรงพอพระทัยและมีเมตตาต่อมันมากจึงโปรดให้นายพรานนำกลับไปปล่อยยัง ป่าหิมพานต์เหมือนเดิม
     ฝูงลิงเมื่อทราบว่าลิงโพธิสัตว์กลับมาแล้ว จึงประชุมกันที่ลานหินแห่งหนึ่งพร้อมกับต้อนรับและถามข่าวซักไซ้ไล่เลียงว่า " เจ้าเพื่อนยาก ท่านหายไปไหนมาเป็นเวลานาน " ลิงโพธิสัตว์ตอบว่า " เราไปอยู่ที่เมืองพาราณสีมานะสิ " " แล้วท่านออกมาได้อย่างไรละ " ฝูงลิงถามต่อ " พระราชาเลี้ยงเราไว้ดูเล่น แล้วก็ปล่อยมานี่แหละ " มันตอบ

     ฝูงลิงถามต่อว่า " ท่านอยู่กับมนุษย์มานาน คงพอจะทราบพฤติกรรมหรือนิสัยของมนุษย์กระมัง ลองเล่าสู่พวกเราฟังสิว่าเป็นอย่างไร "

     ลิงโพธิสัตว์ " พวกท่านอย่าถามเลย เราไม่อยากจะเล่า "
     ฝูงลิง " เล่ามาเถิด พวกเราอยากจะฟัง "
     ลิงโพธิสัตว์ทนการอ้อนวอนไม่ไหวจึงพูดว่า " ท่านทั้งหลายเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จะเป็นกษัตริย์ เศรษฐีหรือยาจก ล้วนแต่พูดคำเดียวกันว่า ของเรา ของเรา ไม่รู้ถึงความไม่เที่ยง ความไม่มีอยู่เลย มีแต่คนพาลละเพื่อนเอ๋ย " ว่าแล้วก็กล่าวติเตียนมนุษย์เป็นคาถาว่า

     " มนุษย์ทั้งหลายผู้มีปัญญาเขลา ไม่เห็นอริยธรรม
       พูดกันแต่ว่า เงินของเรา ทองของเรา ทั้งคืนทั้งวัน
       ในเรือนหลังหนึ่ง มีเจ้าเรือนอยู่ ๒ คน ใน ๒ คนนั้น คนหนึ่ง ไม่มีหนวด
       นมยาน เกล้าผมมวย และเจาะหู ถูกซื้อมาด้วยทรัพย์เป็นจำนวนมาก
       ชายเจ้าของเรือนนั้น พูดเสียดแทงคนนั้นตั้งแต่วันที่มาถึง "

        พวกลิงได้ฟังลิงโพธิสัตว์กล่าวติเตียนชาวมนุษย์อย่างนี้ก็ทนฟังไม่ได้ พากันเอามือปิดหูแล้วพูดว่า " พอละ..พอละ..ท่านหยุดพูดได้แล้ว พวกเราไม่อยากฟังสิ่งที่ไม่ควรจะฟัง " ว่าแล้วก็พากันวิ่งหนีเข้าป่าไป
*******
กล่องนิทานจาก http://www.dhammathai.org

Tuesday, January 3, 2012

ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ

  นิทานชาดก  
เรื่อง ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ


       ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่อัคคาฬวเจดีย์เมืองอาฬวี ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบทที่ภิกษุชาวเมืองอาฬวีพากันสร้างกุฏิด้วยการเที่ยวขอไม่มีขีดจำกัด เป็นเหตุให้ชาวเมืองอาฬวีเดือดร้อนเห็นพระภิกษุที่ไหนก็กลัวหลบหนีหน้าไปหมด พระองค์จึงตรัสติเตียนพวกภิกษุว่า " ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการขอ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้พวกนาคในนาคภิภพ ก็ไม่ชอบใจ " แล้วทรงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...


     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในตระกูลมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากตระกูลหนึ่ง ท่านมีน้องชายอยู่คนหนึ่งรักกันมาก ต่อมาเมื่อมารดาบิดาเสียชีวิตแล้ว พราหมณ์สองพี่น้องก็พากันสละทรัพย์สมบัติบริจาคทานออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตอยู่ฝั่งแม่น้ำคงคา ฤาษีพี่ชายอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำ ส่วนฤาษีน้องชายอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำ
     อยู่มาวันหนึ่ง พญานาคมณิกัฏฐะได้แปลงเพศเป็นชายหนุ่มเที่ยวเล่นไปตามฝั่งแม่น้ำคงคา ผ่านไปถึงอาศรมของฤาษีผู้น้องจึงแวะเข้าไปสนทนาปราศรัยด้วยเกิดความสนิทสนม คุ้นเคยชอบพอกันกับฤาษีผู้น้องนั้น จึงเทียวมาเยี่ยมเยือนทุกวันมิได้เว้น เมื่อสนทนาเสร็จก่อนจะกลับก็จะคืนร่างเป็นพญานาคเอาขนดหางตะหวัดรัดรอบฤาษี แผ่พังพานไว้เหนือหัวด้วยความสิเนหาในฤาษีนั้น นอนพักอยู่หน่อยหนึ่งแล้วค่อยคลายร่างออกไหว้ฤาษีแล้วจึงกลับนาคพิภพ จะเป็นเช่นนี้ประจำ
     ฤาษีนั้นทุกครั้งที่ถูกรัดตัวเกิดความกลัวจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายซูบซีดผ่ายผอมลงทุกวัน วันหนึ่ง ท่านได้แวะไปหาฤาษีพี่ชาย เล่าเรื่องให้ฟังแล้วปรับทุกข์กับพี่ชายว่า " ผมไม่อยากให้พญานาคมาหาผมเลย พี่ช่วยผมหน่อยซิ" พี่ชายถามว่า " พญานาคเวลามา มีเครื่องประดับอะไรไหมละ" " ประดับแก้วมณีมาครับพี่" ท่านตอบพี่ชาย ฤาษีพี่ชายจึงแนะนำว่า " เมื่อพญานาคมาถึงอาศรมของท่าน ยังไม่ทันได้ไหว้ ท่านก็ขอแก้วมณีของมันเลย มันก็จะหนีไป วันที่สองพอมันมาถึงประตูอาศรมเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีของมันอีก พอถึงวันที่สาม ท่านไปยืนดักรอที่ฝั่งแม่น้ำ พอมันโผล่หัวขึ้นจากฝั่งแม่น้ำเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีอีก ทีนี้แหละมันก็จะไม่มารบกวนท่านอีกเลย "

ฤาษีผู้น้องได้ทำตามนั้น ในวันที่ ๓ พญานาคขณะยืนอยู่ในน้ำเมื่อถูกฤาษีขอแก้วมณีอีก จึงพูดว่า " ท่านฤาษี ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่งมีแก่ข้าพเจ้าก็เพราะแก้วมณีดวงนี้ ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีแก่ท่านได้อย่างไร ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มาอาศรมของท่านอีกแล้วละ เมื่อท่านขอแก้วมณีดวงนี้ทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวเหมือนชายหนุ่มถือดาบอันคมกริบ "
     กล่าวจบก็ดำน้ำลงไปนาคพิภพไม่กลับมาที่นั้นอีกเลย
      ฝ่ายฤาษี เมื่อพญานาคไปแล้วไม่มาหาอีกกลับคิดถึง เกิดความเศร้าเสียใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงยิ่งซูบผอมลงไปมากกว่าเดิมอีก หลายวันต่อมาฤาษีพี่ชายอยากจะทราบเรื่อง จึงแวะมาที่อาศรมน้องชาย เมื่อเห็นน้องชายแล้วยิ่งตกใจจึงถามถึงสาเหตุ ฤาษีน้องชายจึงตอบเป็นคาถาว่า
     " บุคคลไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา
       อนึ่ง เพราะขอเกินไปย่อมเป็นที่เกลียดชัง
       นาคราชถูกฤาษีขอแก้วมณี จึงไม่หวนกลับมาให้ฤาษีเห็นอีกเลย "
     ฤาษีพี่ชายได้ปลอบน้องชายให้หายเศร้าเสียใจแล้วจึงกลับอาศรมของตน ฤาษีสองพี่น้องบำเพ็ญฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลกในที่สุด
*******
กล่องนิทานจากhttp://www.dhammathai.org